4 วิธีเอาชนะฮีทสโตรคหรือโรคลมแดด
4 วิธีเอาชนะฮีทสโตรคหรือโรคลมแดด

4 วิธีเอาชนะฮีทสโตรคหรือโรคลมแดด

กรมการแพทย์แนะรับมืออากาศร้อนจัด ให้อยู่ในที่ร่ม หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิด เผยว่า จากสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในช่วงนี้   ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาโดยเฉพาะโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือโรคลมแดด ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงและได้รับความร้อน มากเกินไปทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของ ร่างกายทำให้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง

สัญญาณ เตือนที่สำคัญของโรคฮีทสโตรก คือไม่มีเหงื่อออก แม้จะอากาศร้อน หน้าแดง ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ  รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน  เกร็งกล้ามเนื้อ ชัก มึนงง สับสน  รูม่านตาขยาย ความรู้สึกตัว  ลดน้อยลง อาจหมดสติ หัวใจเต้นเร็วแต่แผ่วเบา ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและทันเวลา อาจทำให้หัวใจหยุดเต้น  และถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งแตกต่างจากอาการเพลียแดดทั่วๆ ไปที่จะมีเหงื่อออกด้วย สำหรับผู้ที่มี ความเสี่ยงในการเกิด  โรคฮีทสโตรก คือ ผู้สูงอายุ  เด็ก ผู้ที่อดนอน ผู้ที่ดื่มเหล้าจัด  ผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น และผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง   เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน รวมถึงนักกีฬา และทหารที่เข้ารับการฝึก โดยไม่มีการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมที่จะเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด

 

สำหรับ การปรับพฤติกรรมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคฮีทสโตรก  คือ ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้าน ในวันที่มีอากาศร้อนจัด  ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน โปร่ง ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายอุณหภูมิความร้อนได้ดีและป้องกันแสงแดดได้ และหากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำ   ให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม และแม้จะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว  ก่อนออกจากบ้านควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่าSPF 15 ขึ้นไป หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด โดยเฉพาะก่อนการออกกำลังกายหรืออยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาเสพติดทุกชนิด ในเด็กเล็กและคนชราควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยให้อยู่ในห้องที่มีอากาศ ระบายได้ดี และไม่ให้เด็กหรือคนชราอยู่ในรถที่ปิดสนิทตามลำพังในกรณีที่จะต้องไปทำงาน ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด ควรเป็นบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 30 นาที  เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับสภาพอากาศร้อนจัด

รอง อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบเจอผู้เป็นโรคฮีทสโตรกสามารถช่วยเหลือเบื้องต้น โดยนำเข้าในที่ร่ม  นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง  ถ้ามีการอาเจียนให้นอนตะแคงก่อน เมื่ออาเจียนแล้วให้นอนหงาย คลายเสื้อผ้าที่รัดแน่นออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ ตามซอกลำตัว คอ รักแร้  เชิงกราน ศีรษะ เพื่อระบาย ความร้อนร่วมกับการใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน ราดน้ำเย็นลงบนตัว เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลง ให้ดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทน แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

 

ข้อมูลจาก : สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย)
มาตรการความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับการตัดเชื่อมโลหะ
มาตรการความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับการตัดเชื่อมโลหะ

มาตรการความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับการตัดเชื่อมโลหะ

ควรจัดให้มีข้อกำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องดำเนินการขออนุญาตก่อนปฏิบัติ งาน (Work permit) ในบริเวณ พื้นที่ทำงานเชื่อมตัดโลหะ เพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนและให้เกิดความปลอดภัยและมีผู้รับผิดชอบความ ปลอดภัยเฝ้าระวังในการทำงาน

  • ก่อนที่จะทำการเชื่อมตัดด้วยไฟฟ้าหรือแก๊สทุกครั้ง ผู้ปฏิบัติงานต้องทำการตรวจสอบบริเวณโดยรอบ จะต้องไม่มีวัสดุที่ติดไฟได้อยู่ในรัศมีที่สะเก็ดไฟจากการปฏิบัติงานจะ กระเด็นไปถึง ทั้งนี้ให้รวมถึงการเชื่อมในที่สูงที่สะเก็ดไฟจะตกลงไปได้ โดยให้ทำการเคลื่อนย้ายวัสดุที่ติดไฟดังกล่าวออกไป หรือจัดหาวัสดุที่ไม่ติดไฟ (Fire Proof Blanket) ปิดกั้น
  • จะต้องเคลื่อนย้ายสารที่สามารถติดไฟได้ให้พ้นบริเวณที่ประกายไฟจากการเชื่อมสามารถกระเด็นไปถึง
  • ควรจัดให้มีอุปกรณ์วัสดุที่ไม่ติดไฟปิดกั้นบริเวณพื้นที่ ปฏิบัติงานเพื่อป้องกันประกายไฟหรือสะเก็ดไฟกระเด็นไปตกบริเวณสารไวไฟ/ วัสดุติดไฟหรือกระเด็นถูกผู้อยู่ใกล้เคียง
  • การเชื่อมหรือตัดภาชนะบรรจุสารไวไฟหรือแก๊สทุกครั้ง ต้องถ่ายและล้างทำความสะอาด สารไวไฟหรือแก๊สที่ตกค้างอยู่ในภาชนะ แล้วทำการระบายอากาศภายในภาชนะจนแน่ใจว่าไม่มีสารไวไฟหรือแก๊สตกค้าง หรือต้องเป็น 0% ของขีดจำกัดล่างของช่วงการติดไฟ (Lower Explosive Limit) แล้วเท่านั้น จึงทำการเชื่อมได้
  • ในบริเวณที่มีการเชื่อมตัดจะต้องจัดให้มีอุปกรณ์ดับเพลิงติด ตั้งไว้ใกล้บริเวณพื้นที่ทำงานให้เพียงพอ และสามารถหยิบใช้ได้โดยสะดวกในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
  • ควรวางถังแก๊สในแนวตั้งให้ห่างจากบริเวณเชื่อมตัดเพื่อป้องกันสะเก็ดไฟ จากการเชื่อมกระเด็นไปถูก และยึดถังให้มั่นคงป้องกันการล้ม และควรตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นเพื่อป้องกันการรั่วให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้ งานก่อนเริ่มทำงาน
  • อุปกรณ์การเชื่อมตัดด้วยไฟฟ้าจะต้องอยู่ในสภาพที่ไม่ชำรุด ฉีกขาด เสียหาย
  • การถอดธูปเชื่อมออกเพื่อหยุดพักชั่วคราวหรือเลิกใช้งาน จะต้องปิดสวิตช์ไฟฟ้าทุกครั้ง
  • ฟิวส์ของเครื่องเชื่อมไฟฟ้าที่ใช้ต้องมีขนาดเหมาะสมและใส่ฟิวส์ให้เข้าที่
  • ห้ามสลับสายลมกับสายแก๊สอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดการระเบิดได้
  • ควรตรวจสอบสายลมและสายแก๊ส รวมทั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟย้อนกลับ (Flashback Arrestors) ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
  • สวมถุงมือและแว่นตา หรือหน้ากากทุกครั้งที่ทำงาน
  • หลังจากปฏิบัติงานแล้วเสร็จให้มีการตรวจสอบบริเวณพื้นที่ทำงานเชื่อมตัดและจุดที่สะเก็ดไฟตก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการลุกติดไฟ

    
ข้อมูลจาก : สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย)

7 อุบัติเหตุที่พบบ่อยที่สุดในที่ทำงาน
7 อุบัติเหตุที่พบบ่อยที่สุดในที่ทำงาน

7 อุบัติเหตุที่พบบ่อยที่สุดในที่ทำงาน

การระบุอุบัติเหตและอันตรายจากการทำงานในสำนักงานเป็นสิ่งที่ยากต่อการระบุ ซึ่งโดยเฉพาะสถานประกอบการที่มีกิจกรรมหรือพนักงานในสำนักงานเป็นจำนวนมาก บทความนี้จึงกล่าวถึงกิจกรรมความปลอดภัยในสำนักงานเพื่อให้แนวทางความรู้โดยทั่วๆไปเป็นหลัก  เราสามารถแยกประเภทของอุบัติเหตุในสำนักงานได้เป็น 7 ประเภท ดังนี้


1. การพลัดตกหกล้ม
เป็นอุบัติเหตุที่ผู้ปฏิบัติงานในสำนักงานประสบมากที่สุด แต่มักจะละเลยจนดูเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ค่อยได้มีการบันทึกไว้ ดังนั้นหากมีการสอบสวนอุบัติเหตุ สามารถบันทึกการสูญเสียอย่างละเอียดแล้ว จะพบว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการพลัดตกหกล้มจัดได้เป็น 3 ลักษณะดังนี้

    การลื่นหรือการสะดุดหกล้ม
    ลักษณะที่เกิดจะมีทั้งสื่นล้มในพื้นที่ หรือพื้นที่ปูพรม ตรงตำแหน่งรอยต่อของพรม การสะดุดหกล้มมักจะเกิดจากมีสิ่งของวางขวาง หรือมีสายไฟห้อยไว้ระเกะระกะ เช่น สายไฟจากปลั๊กต่อที่พื้นหรือเต้าเสียบ หรือสายไฟที่ลากยาวไปตามพื้น โดยมิได้ติดเทป มักทำให้มีการเตะหรือสะดุดหกล้ม โดยเฉพาะบันไดขึ้นลง อาจมีการลื่นและสะดุดหกล้มเสมอ ๆ ผู้ปฏิบัติงานที่เป็นพนักงานสาว ๆ มักใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการสะดุดและหกล้มได้

    เก้าอี้ล้ม
    มักจะเกิดขึ้นจากการที่ผู้ปฏิบัติงานนั่ง หรือเลื่อนเก้าอี้ที่หมุน โดยการใช้เท้าดันออกให้ไหลลื่นแรงเกินไป ในบางกรณีเกิดจากการเอนไปข้างหลังมากเกินไปจนเกิดการหงายไปข้างหลัง บางครั้งผู้ปฏิบัติงานใช้เท้าพาดบนโต๊ะ และเกิดความไม่สมดุลย์ จากการเอียงตัว บางครั้งพบว่าผู้ปฏิบัติงานใช้เก้าอี้โดยไม่สมดุลย์ ทำให้เก้าอี้เลื่อนหนีและร่างกายผู้ปฏิบัติงานจะล้มตกจากเก้าอี้

    การตกจากที่สูง
    มักจะมีสาเหตุจากการยืนบนโต๊ะหรือเก้าอี้ที่ไม่สมดุลย์ หรือไม่มั่นคง เช่น เก้าอี้มีล้อ โต๊ะหรือกล่องที่วางรองรับไม่แข็งแรง เมื่อผู้ปฏิบัติงานยืนขึ้นไปหยิบของลงมาอาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานหกล้มตกลงมาเป็นอันตรายได้ ในสถานที่บางแห่งเปิดช่องไว้ แล้วไม่ปิดให้เรียบร้อย ผู้ปฏิบัติงานอาจพลาดตกลงไปเป็นอันตราย

2. การยกเคลื่อนย้ายวัสดุ
       ผู้ปฏิบัติงานอาจต้องยกของซึ่งใช้ท่าทางการทำงานที่ผิดวิธี โดยไม่ได้รับการฝึกอบรมการจัดขั้นตอนหรือขบวนการทำงานที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ปฏิบัติงานต้องเอื้อมหรือเขย่งจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายได้ การยกน้ำหนักมากเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดก่อให้เกิดการหักงอของกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดไหล่ อาการกดทับของประสาท หลักการ หลักการยกเคลื่อนย้ายวัสดุต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกวิธีและฝึกให้เป็นนิสัยจนสามารถปฏิบัติได้

3. การถูกชนหรือชนกับสิ่งของ
       ในบางพื้นที่แคบหรือในมุมอับจะพบว่า ผู้ปฏิบัติงานมักจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนกัน หรือชนกับสิ่งของควรจะจัดพื้นที่เพื่อความเหมาะสม ทั้งจัดกระจกเงาติดตำแหน่งแยกทางเพื่อป้องกันการชน

4. การที่วัตถุตกลงมากระแทก
        วัตถุที่ตกมักจะวางอยู่ในตำแหน่งที่สูง และไม่มั่นคง เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนจะมีการขยับและเลื่อนตำแหน่ง เป็นเหตุให้มีการตกหรือหล่นลงมาถูกศีรษะของผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ด้านล่าง การเปิดลิ้นชักของตู้เก็บเอกสาร ผู้ปฏิบัติงานบางคนมักจะเปิดลิ้นชักค้างไว้และไปหาเอกสารในชั้นอื่นต่อไปเรื่อย ๆ ปริมาณเอกสารที่มากจะไหลมาอยู่ในทิศทางเดียวกันทำให้ตู้เก็บเอกสารขาดการสมดุลย์ล้มลงมาทับหรือกระแทกผู้ปฏิบัติงานจนเกิดอันตรายได้เครื่องเย็บ หรือเครื่องตัดกระดาษอาจก่อให้เกิดการกระแทก บาดเจ็บที่มือหรือข้อมือ

5. การถูกบาด
       อุปกรณ์สำนักงานบางอย่างจะมีความคมเช่น คัตเตอร์ตัดกระดาษผู้ปฏิบัติงาน หลายคนไม่ทราบวิธีการใช้อุปกรณ์เหล่านี้อย่างถูกต้องทำให้เกิดการบาดเจ็บ แม้กระทั่งกระดาษที่ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสารก็มีความคม ขณะที่ผู้ปฏิบัติงานกีดกระดาษบางครั้งจะถูกกระดาษบาดจนเลือดออกได้

6. การเกี่ยวและหนีบ
        ในบริเวณที่ปฏิบัติงาน บางครั้งจะพบว่ามีการจัดวางของซึ่งยื่นออกมาจนมีการเกี่ยวผู้ปฏิบัติงานได้ บางครั้งจะพบผู้ปฏิบัติงานถูกประตู หน้าต่าง หรือตู้หนีบจนเกิดการบาดเจ็บ ตลอดจนการแต่งตัวของผู้ปฏิบัติงาน

7. อัคคีภัย
        จะถือว่าเป็นอุบัติเหตุประเภทที่รุนแรงที่สุด และทุกคนในสำนักงานก็จะตระหนัก ตื่นเต้น กับอัคคีภัยที่เกิดเสมอ ดังนั้นการฝึกปฏิบัติ การฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยและการอพยพผู้ปฏิบัติงานในสำนักงานจึงมีความจำเป็น

ข้อมูลจาก : สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย)

วิธีปฏิบัติเมื่อโดนสารเคมีเข้าตาขณะปฏิบติงาน
เมื่อโดนสารเคมีเข้าตาขณะปฏิบติงานต้องทำอย่างไร

วิธีปฏิบัติเมื่อโดนสารเคมีเข้าตาขณะปฏิบัติงาน

พูดถึงสารเคมีเข้าตา เป็นเหตุที่พบได้เสมอๆ อาจจะเป็นรุนแรงเนื่องจากถูกปองร้ายโดนสารเคมีเข้มข้นจำนวนมากเข้าตา ดังเช่นคุณธิดาดังตัวอย่างที่หยิบยกขึ้นมา หรืออาจเป็นเพียงอุบัติเหตุสารเคมีกระเด็นเข้าตาระหว่างการทำงาน ซึ่งอาจจะเข้าเพียงเล็กน้อย

สารเคมีใกล้ตัว 
     ในปัจจุบันมีการใช้สารเคมีกันมาก อาทิเช่น คุณแม่บ้านใช้สารเคมีทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ ซึ่งมักจะเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์กรดอ่อนๆ คุณพ่อบ้านก็อาจจะถูกสารเคมีจำพวกน้ำกรดที่ใช้เติมแบตเตอรี่รถยนต์ ขณะตรวจดูแบตเตอรี่ เกษตรกรอาจโดนสารเคมีฆ่าวัชพืช หรือปุ๋ย กรรมกรทำงานก่อสร้างอาจโดนปูนซีเมนต์เหลว นักเรียน นักศึกษาทำการทดลองวิทยาศาสตร์พลาด ทำให้สารเคมีกระเด็นเข้าตา เป็นต้น

อันตรายจากสารเคมี 
     อันตรายที่จะเกิดกับดวงตาด้วยสารเคมีจะมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมี ถ้าเป็นด่างจะรุนแรงกว่ากรด โดยทั่วไปกรดจะก่อให้เกิดผลเสียต่อดวงตาใน 2-3 ชั่วโมงแรกเท่านั้น เพราะกรดจะตกตะกอนกับโปรตีนในเนื้อเยื่อทำให้เป็นด่านกั้นมิให้น้ำกรดซึมลึกลงต่อไป นอกจากนั้นกรดจะถูกลบล้างให้เจือจางลงด้วยน้ำในเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายที่มีฤทธิ์ค่อนข้างเป็นด่าง กรดจึงก่อให้เกิดผลเสียหายเฉพาะที่
ในทางตรงกันข้าม ด่างสามารถทะลุทะลวงเนื้อเยื่อของตาได้รวดเร็ว ก่อให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อลงไปเรื่อยๆ เป็นหลายๆชั่วโมง และหลายวัน ต่อมาตัวด่างจะรวมกับไขมันของเนื้อเยื่อหุ้มผิวทำให้เกิดการแตกสลายของเซลล์ ทำลายเนื้อเยื่อให้อ่อนนุ่มลงและละลายหรือสลายตัวได้เองในที่สุด ดังนั้น ด่างที่เข้มข้นที่เข้าตาจำนวนมากอาจทำให้ตาดำเปื่อยยุ่ยสลาย ทำให้ตาบอดได้

      นอกจากนี้ด่างหรือกรดแต่ละตัวก็มีความสามารถทำลายเนื้อเยื่อต่างๆกัน โดยทั่วไปด่างจะรุนแรงกว่ากรด และด่างหรือกรดแต่ละตัวก็มีความรุนแรงแตกต่างกัน เช่น ในกลุ่มสารเคมีที่เข้าตา ด่างแอมโมเนียจะรุนแรงที่สุด  ตัวแอมโมเนียอยู่ในรูปแก๊สซึ่งมักจะถูกอัดไว้ในแท้งก์ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแท้งก์ระเบิด ตัวแอมโมเนียจะรวมกับน้ำคือ น้ำตา ทำให้มีฤทธิ์เป็นด่างที่สามารถซึมผ่านกระจกตาได้ดีเข้าลึกถึงชั้นใน และทำลายส่วนต่างๆภายในลูกตาได้รุนแรงที่สุด  ด่างที่รุนแรงรองลงมาเป็นโซดาไฟ(NaOH) ทั้งในรูปผลึกหรือของเหลวที่มักใช้ในอุตสาหกรรม หรืออาจเป็นส่วนประกอบของน้ำยาทำความสะอาดบางชนิด ด่างที่มีความรุนแรงลดลงมาอีกคือแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)2) ซึ่งเป็นด่างที่อยู่ใน plaster หรือปูนซีเมนต์

จะลดอันตรายได้อย่างไร
      สารเคมีจะทำอันตรายต่อดวงตามากหรือน้อย นอกจากขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารเคมีนั้นๆ ถ้าเข้มข้นมากก็จะทำลายดวงตาได้มาก และขึ้นอยู่กับเวลาที่สารนั้นอยู่ในตา ถ้าอยู่นานก็จะซึมผ่านกระจกตาเข้าสู่ภายในตา ดังเช่น กรณีน้ำกรดซึมเข้านัยน์ตาคุณธิดาอยู่นานถึง 1 ชั่วโมง จึงทำให้ตาดำได้รับอันตรายมาก

    ดังนั้น การรีบล้างสารเคมีออกจากตาทันทีทันใดจะช่วยลดอันตรายลง เมื่อมีสารเคมีเข้าตาควรรีบล้างตาทันทีด้วยน้ำสะอาดที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอน้ำยาล้างตา น้ำประปาก็ใช้ได้ อย่าได้เข้าใจผิดว่าถ้าด่างเข้าตาให้ใช้น้ำกรดเข้าไปลบล้าง เพราะกรดจะทำปฏิกิริยากับด่างได้ก็จริง แต่ดวงตามิใช่ภาชนะที่จะรองรับปฏิกิริยาดังกล่าว ปฏิกิริยาดังกล่าวจะเกิดความร้อนยิ่งทำลายดวงตามากขึ้นไปอีก

    ในทางปฏิบัติเมื่อคนเราถูกสารเคมีเข้าตา ต้องรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที วิธีล้างตาที่ได้ผลให้คนไข้นอนตะแคง พยายามลืมตาให้กว้างที่สุด ถ้าคนไข้ปวดตามาก และไม่ยอมลืมตาก็ให้ผู้ล้างพยายามถ่างหรือดึงหนังตาให้แยกออกจากกัน แล้วใช้น้ำสะอาดล้างให้ทั่วๆ เพื่อจะได้ชะสารเคมีให้หมด แล้วรีบมาพบแพทย์

     สารเคมีที่รุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้ การป้องกันมิให้ตาถูกสารเคมีจะดีที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเสี่ยงที่จะถูกสารเคมีก็ควรให้ความระมัดระวังอย่าประมาทเลินเล่อ ยกตัวอย่างเช่น แม่บ้านที่ใช้น้ำยาทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ ควรใช้อย่างระมัดระวัง ใช้ตามคำแนะนำของฉลาก เกษตรกรจะใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีฆ่าวัชพืชไม่ควรละเลยที่จะใช้สิ่งปกป้องใบหน้าและดวงตา ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสารเคมีควรจะมีหน้ากากคลุมใบหน้าไว้ เป็นต้น


หากเกิดเหตุสุดวิสัยสารเคมีเข้าตา ควรจะรู้วิธีปฏิบัติเพื่อลดความรุนแรงของภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นด้วยวิธีดังกล่าว


ข้อมูลจาก : สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย)

วิธีปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษ
วิธีปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษ

วิธีปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษ

สารพิษ (Poisons)

สารพิษ หมายถึง  สารเคมีที่มีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายโดย การรับประทาน การฉีด การหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วทำให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ด้วยปฏิกิริยาทางเคมี อันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติ ปริมาณ และทางที่ได้รับสารพิษนั้น

ชนิดของสารพิษ
      สารพิษที่ทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์มาจากหลายแหล่งด้วยกัน อาจเป็นพิษจากสัตว์ เช่น  งูพิษ ผึ้ง แมลงป่อง   พิษจากพืช เช่น เห็ดพิษ ลำโพง   พิษจากแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ตะกั่ว ฟอสฟอรัส สารหนู   และ พิษจากสารสังเคราะห์ต่าง ๆ เช่น  ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช ยาอันตราย  รวมทั้งสารสังเคราะห์ที่ใช้ในครัวเรือนเช่น น้ำยาฟอกขาว น้ำยาขัดห้องน้ำ  เป็นต้น

สารพิษสามารถจำแนกตามลักษณะการออกฤทธิ์ ได้  4 ชนิด ดังนี้
  • - ชนิดกัดเนื้อ (Corrosive ) สารพิษชนิดนี้จะทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไหม้  พอง ได้แก่  สารละลายพวก กรดและด่างเข้มข้น  น้ำยาฟอกขาว
  • - ชนิดทำให้ระคายเคือง (Irritants ) สารพิษชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการปวดแสบ    ปวดร้อน และอาการอักเสบในระยะต่อมา ได้แก่  ฟอสฟอรัส  สารหนู  อาหารเป็นพิษ  ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
  • - ชนิดที่กดระบบประสาท (Narcotics )   สารพิษชนิดนี้จะทำให้หมดสติ หลับลึก ปลุกไม่ตื่น ม่านตาหดเล็ก ได้แก่  ฝิ่น  มอร์ฟีน พิษจากงูบางชนิด
  • - ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท (Dililants)   สารพิษชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่ง ใบหน้าและผิวหนังแดง ตื่นเต้นชีพจรเต้นเร็ว ช่องม่านตาขยายได้แก่  ยาอะโทรปีน ลำโพง 
การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ
       การได้รับสารพิษ เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการปฐมพยาบาลที่รีบด่วน และเฉพาะเจาะจง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องประเมินจำแนกให้ได้ว่าอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนั้น  ว่าเกิดจากสารพิษใด นอกจากประเมินอาการแล้ว ยังจำเป็นต้องสังเกตสภาพการณ์ สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยร่วมด้วย ดังนี้
  • - การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปาก หรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
  • - เพ้อ ชัก หมดสติ  มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป  ขนาดช่องม่านตาผิดปกติ อาจหดหรือขยาย
  • - หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้า หรือบริเวณริมฝีปาก ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
  • - ตัวเย็น  เหงื่อออกมาก  มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง
   
สภาพการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่บ่งชี้ถึงภาวะการได้รับสารพิษ
  • - เกิดอาการผิดปกติขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยที่ผู้ป่วยเป็นคนที่แข็งแรงสมบูรณ์มาก่อน
  • - เกิดอาการขึ้นกับคนหลาย ๆ คน  หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน
  • - ในบริเวณที่พบผู้ป่วยมีภาชนะบรรจุสารพิษ  หรือเป็นแหล่งของสัตว์มีพิษ  เช่น งูพิษ  แมงป่อง แมงกะพรุนไฟ
  • - มีปัญหาทางด้านจิตใจ ได้แก่  เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย มีประวัติพยายามฆ่าตัวตาย ผิดหวังในชีวิต หรือการทำงาน มีศัตรูปองร้าย

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษ จำแนกตามวีถีทางที่ได้รับ  3  ทาง ดังนี้
  • - การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
  • - การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
  • - การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง

1. การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
    ผู้ช่วยเหลือต้องทำการประเมินผู้ที่ได้รับสารพิษก่อน  แล้วจึงพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือ  ดังนี้
  • - ทำให้สารพิษเจือจาง  ในกรณีรู้สึกตัวและไม่มีอาการชัก  โดยการดื่มน้ำชาซึ่งหาได้ง่าย แต่ถ้าได้นมจะดีกกว่า เพราะว่าจะช่วยเจือจางสารพิษแล้ว ยังช่วยเคลือบและป้องกันอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร
  • - นำส่งโรงพยาบาล  เพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
  • - ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน  เพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ต้องใช้เวลานานในการนำส่งผู้ป่วย  เช่น  ใช้นิ้วล้วงคอ ใช้ไม้พันสำลีกวาดคอซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ รู้สึกอยากขย้อน อยากอาเจียน
ข้อห้ามในการทำให้ ผู้ป่วยอาเจียน
  • - หมดสติ
  • - ได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อ เช่น กรด ด่าง
  • - รับประทานสารพิษพวก น้ำมันปิโตรเลียม เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน
  • - มีสุขภาพไม่ดี  เช่น โรคหัวใจ
ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหาร 
     เพื่อลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย สารที่ใช้ได้ผลดี คือ Activated charcoal มีลักษณะเป็นผงถ่านสีดำ ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 1 แก้ว ให้ ผู้ป่วย ดื่ม  ถ้าหาไม่ได้ อาจใช้ไข่ขาว 3 - 4 ฟอง ตีให้เข้ากันให้ ผู้ป่วยรับประทาน  ซึ่งควรใช้ในกรณีดังต่อไปนี้

  • - รับประทานสารพิษเข้าไปเกินครึ่งถึง 1 ชั่วโมง เพราะสารพิษผ่านกระเพาะอาหารลงไปยังลำไส้แล้ว การให้อาเจียนอาจไม่ได้ผล
  • - หลังจากทำให้อาเจียนแล้ว ไม่แน่ใจว่าสารพิษจะถูกขับออกมาหมดโดยการอาเจียน
  • - ไม่สามารถทำให้ ผู้ป่วยอาเจียนได้
  • - นำส่งโรงพยาบาล เมื่อให้การปฐมพยาบาลแล้ว  ขณะนำส่งให้สังเกต อาการและอาการแสดง ตลอด เวลาและให้การช่วยเหลือถ้า  ผู้ป่วยหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น โดยการนวดหัวใจและการผายปอด
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อ (Corrosive substances )
     กรด ด่าง เป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน  นำมาใช้ในครัวเรือน และโรงงานอุตสาหกรรม เช่น กรดซัลฟริก  กรดไฮโดรคลอริก  โซเดียมคาร์บอเนต

อาการและอาการแสดง
ไหม้พอง  ร้อนบริเวณริมฝีปาก  ปาก  ลำคอและท้อง  คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ และมีอาการภาวะช็อค ได้แก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น

การปฐมพยาบาล
  • - ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
  • - อย่าทำให้อาเจียน
  • - รีบนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตเลียม
        เป็นผลิตภัณฑ์ที่พบได้ทั้งในบ้านและโรงงานอุตสาหกรรม สารพวกนี้ได้แก่ น้ำมันก๊าด เบนซิน ยาฆ่าแมลงชนิดน้ำมัน เช่น DTT.

อาการและอาการแสดง
      แสบร้อนบริเวณปาก คลื่นไส้ อาเจียน  ซึ่งอาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นน้ำมัน หรือมีกลิ่นน้ำมันปิโตเลี่ยม อัตราการหายใจและชีพจรเพิ่ม อาจมีอาการขาด ออกิเจน ซึ่งอาจรุนแรงมากมีเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า (Cyanosis)

การปฐมพยาบาล
  • - รีบนำส่งโรงพยาบาล
  • - ห้ามทำให้อาเจียน
  • - ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยอาเจียน ให้จัดศีรษะต่ำ เพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด  

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับ ยาแก้ปวด ลดไข้
ยาแอสไพริน และพาราเซตามอล พบบ่อย ในเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ

อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาแอสไพริน
หูอื้อ เหมือนมีเสียงกระดิ่งในในหู การได้ยินลดลง เหงื่อออกมาก ปลายมือปลายเท้าแดง ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน หายใจเร็ว ใจสั่น

อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาพาราเซตามอล (ไทรีนอล)
ยานี้จะถูกดูดซึมเร็วมาก โดยเฉพาะในรูปของสารละลาย  ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตต่ำ สับสน เบื่ออาหาร

การปฐมพยาบาล
  • - ทำให้สารพิษเจือจาง
  • - ทำให้อาเจียน
  • - ให้สารดูดซับสารพิษ ที่อาจหลงเหลือในระบบทางเดินอาหาร
  • - ให้กำลังใจ เพื่อให้ ผู้ป่วยสงบ

2. การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
     สารพิษที่เข้าสู่ทางการหายใจ ได้แก่ ก๊าซพิษ ซึ่ง แบ่งออกเป็น  3  ประเภท  ดังนี้

    ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการ วิงเวียน หน้ามืด เป็นลมหมดสติ ถึงแก่ความตายได้  เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ปัจจุบันพบว่าก๊าซที่ทำให้เกิดปัญหาค่อนข้างบ่อย ได้แก่ คาร์บอนมอนนอกไซด์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ที่มีปัญหาการจราจรคับคั่ง อากาศเป็นพิษ คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อหายใจเข้าไปในร่างกาย ก๊าซนี้จะแย่งที่กับออกซิเจนในการจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถไปยังเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้ ร่างกายจึงมีอาการของการขาดออกซิเจน ซึ่งถ้าช่วยเหลือไม่ทันจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เช่น ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตในรถยนต์
    ก๊าซที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ คอ หลอดลม และปอด ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ตายได้ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่มีสีแต่มีกลิ่นฉุน พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ทำกรดกำมะถัน
    ก๊าซที่ทำให้อันตรายทั่วร่างกาย ได้แก่ ก๊าซอาร์ซีน ไม่มีสีกลิ่นคล้ายกระเทียม พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ทำแบตเตอรี่ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ปัสสาวะเป็นเลือด ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง

การปฐมพยาบาล
  • - กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซ หรือ ขจัดต้นเหตุของพิษนั้น ๆ
  • - นำผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์
  • - ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ
  • - นำส่งโรงพยาบาล

3. การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง
      สารพิษที่สามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่พบบ่อยเกิดได้แก่ สารเคมี และสารพิษที่เกิดจากการถูกสัตว์มีพิษกัดหรือต่อย  เช่น ต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ แมงป่อง แมงกะพรุนไฟ  งูพิษ

การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง
  • - ล้างด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ  อย่างน้อย 15 นาที
  • - อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี  เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
  • - บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
  • - ปิดแผล แล้วนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
  • - ล้างตาด้วยน้ำนาน 15 นาที่ โดยการ เปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อย ๆ
  • - อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
  • - บรรเทาอาปิดตา แล้วนำส่งโรงพยาบาล
ข้อมูลจาก : สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย)